อาร์เธอร์ ไลโอเนล คิวริเปลและบ้านหลิ่งห้า

เมื่ออาร์เธอร์ ไลโอเนล คิวริเปล (Arthur Lionel Queripel) อายุได้ 22 ปี ในปี พ.ศ. 2443 (ค.ศ. 1900) เขาได้เข้ามาทำงานกับบริษัทบอมเบย์เบอร์มาที่แพร่ จนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) คิวริเปลได้ย้ายมาทำงานที่เชียงใหม่ โดยมี วิลเลี่ยม วิลลอฟบี วูด (William Willoughby Wood) เป็นผู้จัดการบริษัทบอมเบย์เบอร์มาสำนักงานเชียงใหม่ และอีก 2 ปีต่อมาในปี พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) เขาถูกย้ายกลับไปทำงานที่แพร่อีกครั้งหนึ่ง อีก 4 ปีต่อมา พ.ศ. 2451 (ค.ศ. 1908) คิวริเปลถูกย้ายมาประจำการที่เชียงใหม่ได้เพียงปีเดียว ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909) เขาถูกย้ายไปทำงานในเขตป่าสาละวิน (ป่าสัมปทานของบริษัทบอมเบย์เบอร์มา ในเขตแม่สะเรียงและปายซึ่งตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำสาละวิน) อีก 3 ปีต่อมาในปี พ.ศ. 2455 (ค.ศ. 1912) เขาได้ย้ายมาประจำที่เชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทำงานที่เชียงใหม่ได้ 7 ปีในเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) คิวริเปลป่วยหนักและได้ลากลับไปรักษาตัวที่อังกฤษ (Macfie, 1987) และอีก 3 ปีต่อมาในปี พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) คิวริเปลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการบริษัทบอมเบย์เบอร์มาสำนักงานเชียงใหม่ 

คิวริเปลเกษียณอายุจากการเป็นผู้จัดการบริษัทบอมเบย์เบอร์มาที่เชียงใหม่ประมาณปี พ.ศ. 2476 (ค.ศ. 1933) และจากการที่เขาทำงานและอาศัยอยู่ในดินแดนล้านนาเป็นเวลายาวนานทำให้เขาสามารถพูดภาษาพื้นเมืองล้านนาได้เป็นอย่างดี หลังจากเกษียณอายุแล้วคิวริเปลได้ไปทำงานเป็นผู้จัดการตลาดวโรรสให้กับทายาทตระกูล ณ เชียงใหม่ โดยมีการจัดตั้งเป็นรูปแบบบริษัทและแบ่งเป็นหุ้นส่วน อีกทั้งมีการสร้างตึกแถวรอบบริเวณตลาดทั้งสี่ด้าน โดยมีเจ้าแก้วนวรัฐเป็นผู้ควบคุมดูแลบริษัท (เจ้าวงศ์จันทร์ คชเสนี, 2540 หน้า 50;  กิตติชัย วัฒนานิกร, 2558 หน้า 147) 

คิวริเปลมีลูกสองคนกับภรรยาสองคนแรกก่อนที่จะมีภรรยาคนที่สามชื่อดอกจันทร์ซึ่งเป็นคนลำปางเชื้อสายไทใหญ่ โดยมีบุตรด้วยกันอีกสิบเอ็ดคน อาจจะเป็นเพราะว่าคิวริเปลมีลูกหลายคนเขาจึงตั้งชื่อลูกให้แปลกและจำได้ง่าย มีเรื่องเล่าว่าลูกคนหนึ่งชอบนำกล้องทางไกลของเขาไปส่องเล่นเขาจึงตั้งชื่อลูกคนนั้นว่า ‘อินส่อง’ ส่วนลูกสาวคนหนึ่งของเขาเก่งด้านการทำบัญชีเขาจึงตั้งชื่อลูกคนนั้นว่า ‘บัญชี’ ส่วนลูกคนอื่นๆก็มีชื่อที่แปลกและโดดเด่นเช่น ‘สีมอญ’ ‘ปิงป้อง’ ‘ศรีอู๊ด’ ‘ซินเดอร์’ เป็นต้น (กิตติชัย วัฒนานิกร, 2558 หน้า 143)

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) คิวริเปลได้ถูกจับตัวจากบ้านหลิ่งห้า บ้านพักหลังเกษียณของเขากับครอบครัว ในวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. (ค.ศ. 1941) ครอบครัวของเขาก็ถูกบังคับให้ออกจากบ้านภายในวันนั้น และต่อมาบ้านหลิ่งห้าของคิวริเปลถูกใช้เป็นที่พักและที่ทำงานของทหารญี่ปุ่นในช่วงสงคราม ในวันที่ 25 ธันวาคม คิวริเปล พร้อมทั้งวูด แม็คฟี และเบน ถูกนำตัวขึ้นรถไฟไปกรุงเทพฯและถูกนำไปกักตัวที่ค่ายกักกันมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพฯ (Backhouse, 2020 หน้า 29) โดยแม่เลี้ยงดอกจันทร์และครอบครัวได้ย้ายไปอาศัยอยู่แถวอำเภอหางดง คิวริเปลถูกปล่อยตัวจากค่ายกักกันในเดือนมกราคม พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943) เพราะเขาป่วยและมีอายุมากแล้ว หลังจากนั้นคิวริเปลได้พักอาศัยอยู่กับบัญชีลูกสาวของเขาที่กรุงเทพฯ และไม่มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านหลิ่งห้าที่เชียงใหม่ของเขาอีกเลย คิวริเปลป่วยหนักและเสียชีวิต เมื่อมีอายุได้ 67 ปี ในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) (Backhouse, 2020 หน้า 29) ร่างของเขาถูกฝังไว้ที่สุสานโปรเตสแตนท์ กรุงเทพฯ รวมเวลาที่เขาเข้ามาทำงานและใช้ชีวิตในพื้นที่ตอนบนของสยามและเชียงใหม่ประมาณ 45 ปี

 

ภาพที่ 34: อาร์เธอร์ ไลโอเนล คิวริเปล
ที่มา: สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการบริษัทบอมเบย์เบอร์มาเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1926) คิวริเปลได้สร้างบ้านหลิ่งห้าเพื่ออาศัยอยู่กับครอบครัว นอกจากนี้เขายังมีบ้านบนดอยสุเทพ ที่เรียกว่า ‘บ้านบวกห้า’ ทั้งนี้เนื่องจากตั้งอยู่บนดอยบวกห้า ที่เป็นส่วนหนึ่งของดอยสุเทพ ที่ล้อมรอบไปด้วยพืชพันธ์ไม้และนกป่า (de Schauensee, 1934; Backhouse, 2020 หน้า 29) บ้านหลังนี้เป็นของบริษัทบอมเบย์เบอร์มาและในช่วงที่คิวริเปลเป็นผู้จัดการบริษัทบอมเบย์เบอร์มาสำนักงานเชียงใหม่เขาได้สร้างบ้านหลังนี้ไว้เพื่อพักผ่อนในหน้าร้อน อีกทั้งยังใช้เป็นบ้านรับรองเพื่อนฝูงชาวต่างประเทศที่มาเยือนเชียงใหม่ บ้านหลังนี้ถูกรื้อถอนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (Backhouse, 2020 หน้า 29) บริเวณของบ้านบวกห้าในปัจจุบันคือพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ และสนามเทนนิสในอดีตคือลานจอดเฮลิคอปเตอร์ในปัจจุบัน (กิตติชัย วัฒนานิกร, 2558 หน้า 146)

 

ภาพที่ 35: อาร์เธอร์ ไลโอเนล คิวริเปล ผู้จัดการตลาดวโรรสกำลังตรวจตลาดขณะน้ำท่วม
ที่มา: เจ้าวงศ์จันทร์ คชเสนี, 2540 หน้า 84 

ภาพที่ 36: อาร์เธอร์ คิวริเปล, บัญชี คิวริเปล, วิลเลี่ยม อัลเฟรด แร วูด, วิลเลี่ยม เบน, เดวิด    แม็คฟี เดือนมีนาคม พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938)
ที่มา : Hutchinson archives

บ้านหลิ่งห้า

คิวริเปลได้สร้างบ้านพักอาศัยในรูปแบบสถาปัตยกรรมอาณานิคมอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1926) ในช่วงที่เขาเป็นผู้จัดการบริษัทบอมเบย์เบอร์มาเชียงใหม่ เนื้อที่บริเวณบ้านมีประมาณ 100 ไร่ เนื่องจากที่ตั้งของบ้านอยู่เชิงดอยสุเทพซึ่งเป็นพื้นที่ลาดเอียง และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นมะห้า ซึ่งเป็นพืชพื้นเมืองทางเหนือ จึงทำให้พื้นที่แถวนี้จึงถูกเรียกว่าหลิ่งห้า และบ้านพักของคิวริเปลถูกเรียกว่า ‘บ้านหลิ่งห้า’ โดยมีหม่องตันซึ่งเป็นคนพม่าเป็นสถาปนิกออกแบบบ้าน ลักษณะของบ้านในรูปแบบสถาปัตยกรรมอาณานิคมอังกฤษตั้งอยู่โดดเด่นในพื้นที่สวนที่กว้างใหญ่ บ้านหลิ่งห้าถือเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของชาวตะวันตกที่ใหญ่โตหรูหราและทันสมัยมากเมื่อเทียบกับบ้านเรือนทั่วไปของชาวบ้านในเชียงใหม่เวลานั้น 

บริเวณบ้านหลิ่งห้าล้อมรอบด้วยรั้วต้นไผ่ อาณาบริเวณอันกว้างขวางของบ้านหลิ่งห้าในอดีตรวมไปถึงพื้นที่คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในปัจจุบัน (รัลจนา กิรติปาล, 2564-สัมภาษณ์) เนื่องจากคิวริเปลเป็นผู้ที่สนใจและมีความรู้เกี่ยวกับการนำต้นไม้พันธุ์แปลกๆจากต่างประเทศมาปลูกในพื้นที่ตอนบนของสยาม (Queripel, 1932) ทำให้พื้นที่ในบริเวณบ้านอันกว้างขวางของเขามีการปลูกทั้งไม้ดอกและไม้ผลนานาชนิดจำนวนมาก รวมถึงการปลูกสตรอเบอรี่เป็นครั้งแรกในเชียงใหม่อีกด้วย และการปลูกดอกไม้ฝรั่งที่สวยงาม เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้เสด็จประพาสเชียงใหม่ ได้เสด็จเข้าชมสวนในบริเวณบ้านของคิวริเปลอีกด้วย (พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2560) 

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บ้านหลิ่งห้าถูกยึดครองโดยทหารญี่ปุ่น และแม่เลี้ยงดอกจันทร์ได้พาลูกๆอพยพหนีภัยไปอาศัยอยู่นอกเมือง เมื่อสงครามสิ้นสุดลงและทหารญี่ปุ่นออกจากบ้านไปแล้ว บ้านหลิ่งห้าก็ยังคงเป็นบ้านร้างไม่มีผู้อยู่อาศัย กอรปกับเจ้าชื่น สิโรรส ซึ่งได้อพยพหนีภัยสงครามไปอยู่ที่ถ้ำผาผัวะ อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่หลวงปู่สิม ได้ธุดงค์และจำพรรษาที่ถ้ำผาผัวะ หลวงปู่สิมจึงเป็นเสมือนที่พึ่งของคนที่อยู่ในสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด เมื่อออกพรรษาแล้วหลวงปู่สิมได้จาริกธุดงค์ไปยังสถานที่วิเวกหลายแห่งในเชียงใหม่ และเมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพาได้ยุติลงแล้ว ในปลายปี พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) เจ้าชื่น สิโรรส ได้อาราธนาหลวงปู่สิมให้มาพักจำพรรษาที่บ้านหลิ่งห้าได้สองพรรษา และเนื่องจากแม่เลี้ยงดอกจันทร์และลูกๆต้องการย้ายกลับมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านหลิ่งห้า บรรดาศรัทธาญาติโยมของหลวงปู่สิมจึงได้รวบรวมเงินสร้างวัดสันติธรรมเพื่อถวายแก่หลวงปู่สิมในเวลาต่อมา (ประวัติวัดสันติธรรม มปป.)

เมื่อครอบครัวของคิวริเปลได้ย้ายกลับเข้ามาอาศัยในบ้านหลิ่งห้า ก็พบว่าทหารญี่ปุ่นได้เอาระเบิดจำนวนมากทิ้งไปในบ่อน้ำขนาดใหญ่ในบริเวณหลังบ้าน จึงได้มีการแจ้งให้ทางราชการเพื่อนำเอาระเบิดออกไปจากบ่อน้ำ ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 ( ค.ศ. 1964) ได้มีการเวนคืนบ้านหลิ่งห้าและที่ดินทั้งหมดของคิวริเปลให้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (พิพิธภัณฑ์เรือนโบราณล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2560) ทำให้บ้านหลิ่งห้าถูกปรับปรุงเพื่อใช้เป็นสำนักงานของศูนย์วิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปัจจุบันบ้านหลิ่งห้าและส่วนหนึ่งของบริเวณบ้านเป็นสำนักงานของสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อัตลักษณ์สถาปัตยกรรมอาณานิคมอังกฤษของบ้านหลิ่งห้า

ปัจจุบันอาคารบ้านหลิ่งห้าถูกรักษาคงสภาพเดิมไว้ จากภูมิหลังด้านประวัติศาสตร์ของอาคารในอดีตพบว่า อาคารหลังนี้อยู่ในอาณาบริเวณที่ดินของคิวริเปลที่ทำเกษตรกรรม สวนสตรอเบอรี่ และพืชพันธ์ไม้แปลกๆจากต่างประเทศ และสวนแบบอังกฤษ โดยอาคารตั้งอยู่ในส่วนด้านหลังของสวน ที่มีการออกแบบอย่างสวยงาม ผ่านการเป็นบ้านร่วมสมัย แนวคิดที่น่าสนใจคือ ตัวอาคารสร้างด้วยรสนิยมตะวันตกมีการวางชั้นใต้ถุน ชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สอง และชั้นใต้หลังคา โดยมีแนวคิดการวางสมมาตรของพื้นที่ใช้สอยให้โถงกลางอาคารเป็นโถงและบันได ปีกอาคารสองฝั่งแบ่งกิจกรรมใช้สอยตามขนาดห้อง สิ่งที่น่าใจคือตัวอาคารนำเอาเสาคอนกรีตและระบบผนังก่ออิฐรับน้ำหนักมาใช้เป็นหลัก แต่มีองค์ประกอบของการตกแต่งและโครงสร้างรองที่เป็นวัสดุพื้นถิ่นอาทิ แผ่นฝาและพื้นไม้สัก และการนำเอาเครื่องปั้นดินเผามาใช้ในบนแผ่นพื้นและองค์ประกอบราวระเบียง การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ตู้ไม้สักติดกับผนัง (Built-in furniture) และการคลุมหลังคาอาคารเป็นหลังคารูปทรงจั่วผสมปั้นหยา หรือที่เรียกว่า ทรงมะนิลา  

 

วิเคราะห์การวางผังบริเวณอาคาร

จากประวัติศาสตร์ของการวางผังบริเวณที่ตั้งของบ้านพบว่า การเป็นบ้านพักอาศัยท่ามกลางไร่สตอเบอรี่ และพืชพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลแปลกๆ ทำให้อาคารนี้วางผังบริเวณในส่วนท้ายของพื้นที่เกษตรกรรมและอาคารมีการวางผังขนานไปกับลำเหมืองเกษตรกรรม ตัวอาคารวางตัวด้านขนานเป็นด้านหน้าโครงการ ทำให้สันนิษฐานได้ว่ามีแนวคิดนีโอคลาสลิกในการวางผังบริเวณ ประกอบกับการใช้พื้นที่สวนเป็นส่วนผังบริเวณเพื่อให้อาคารที่มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้นกับบริบทรอบข้าง ซึ่งแตกต่างจากอาคารพื้นถิ่นที่วางตัวกระจายกันเป็นกลุ่มบ้าน และมีลานบ้านร่วมกันเพื่อการเกษตรกรรม แต่ผังบริเวณอาคารหลังนี้กลับแบ่งแยกพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ผังบริเวณบ้านออกจากกันแต่เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินและลำเหมืองแทน ซี่งเป็นอิทธิพลของแนวคิดการวางผังอาคารแบบตะวันตก ที่เน้นประโยชน์ใช้สอยนิยม 

 

วิเคราะห์รูปแบบอาคารจากผังอาคารและรูปหน้าด้านอาคาร

จากรูปทางอาคารมีการวางผังอาคารที่คิดจากพื้นที่ใช้สอยของอาคารก่อน ทำให้อาคารคิดจากการวางห้องอาคารและวางแนวเสาไปตามห้องต่างๆ ทำให้เกิดระบบเสาที่คิดตามประโยชน์ใช้สอยก่อน ที่น่าสนใจคือการเกิดพื้นที้ชั้นใต้ดินหรือ basement ที่เป็นคุณลักษณะของอาคารตะวันตก ทำให้ตัวอาคารมีชั้นอาคาร 3 ชั้นคือ ชั้นใต้ดิน ชั้นแรก และชั้นสอง รูปลักษณะของอาคารเป็นการสร้างอาคารที่ร่วมสมัยกับแนวคิดนีโอคลาสสิค ผสมกับความเป็นพื้นถิ่น ที่มีการผสมของการใช้วัสดุและโครงสร้างเป็นเหล็กและคอนกรีต โดยในส่วนการตกแต่งอาคารจะมีงานช่างฝีมือผสมกันอยู่ 

ภาพที่ 37: อาร์เธอร์ ไลโอเนล คิวริเปล และครอบครัวที่บันไดหน้าบ้านหลิ่งห้า
ที่มา: สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ภาพที่ 38: อาร์เธอร์ ไลโอเนล คิวริเปล และแม่เลี้ยงดอกจันทร์ ภรรยา
 ที่มา: กิตติชัย วัฒนานิกร, 2559 หน้า 29

ภาพที่ 39: บ้านหลิ่งห้าและลูกๆของอาร์เธอร์ ไลโอเนล คิวริเปล ที่แปลงดอกไม้หน้าบ้าน
ที่มา: สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ภาพที่ 40: บ้านหลิ่งห้าในปัจจุบันคือสำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
 ที่มา: พลอยศรี โปราณานนท์    

British Heritage in Chiang Mai